hd-free-movie เดี๋ยวนี้เน็ตฟลิกซ์มีหนังเชื้อชาติประเทศนอร์เวย์

hd-free-movie

hd-free-movie กล่าวได้ว่า Neflix ยังคงมีหวังกับทาเลเด็กผู้หญิงวัย 17 ปีจะต้องย้ายไปอยู่ hd-free-movie กับแม่ในเมืองเล็กๆด้วยเหตุว่าแม่ของคุณได้งานทำที่กรมตำรวจท้องที่ ต่อไปก็มีคดีผู้เรียนคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างใจร้ายโดยที่ทาเลก็ยอดเยี่ยมในผู้เห็นเหตุการณ์ที่รอดตายมาได้ แต่ว่าแล้วคุณก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของร่างกายอะไรบางอย่าง เวลาเดียวกันคนร้ายสุดชั่วร้ายก็ยังคงลอยนวลในป่าลึกของประเทศนอร์เวย์เดี๋ยวนี้เน็ตฟลิกซ์มีหนังเชื้อชาติประเทศนอร์เวย์

hd-free-movie

ที่มีหน้าหนังน่าดึงดูดมาเสิร์ฟคนชอบดูหนังคนประเทศไทยติดๆกันเลย โดยก่อนหน้าที่ผ่านมาก็มีหนังตัวประหลาดที่ซอกเขาอย่าง ‘Troll’ (2022) ที่เพียงพอมีกระแสในไทยมายั่ว และก็ให้เกิดเรื่องบังเอิญว่ามือเขียนบทในหนังหัวข้อนั้นอย่าง เอสเปน อูคัน (Espen Aukan) ก็เป็นผู้เดียวกันกับที่มาช่วยเขียนบทในหนังมนุษย์สุนัขป่าฉบับประเทศนอร์เวย์ประเด็นนี้ด้วย

hd-free-movie ‘Viking Wolf’ เริ่มเรื่องโดยเกริ่นถึงตำนานโบราณในยุคไวกิ้ง

ยังครอบครองดินแดนนี้อยู่ พวกไวกิ้งออกปล้นไปทั่วจนกระทั่งริมตลิ่งประเทศฝรั่งเศสและก็เจอลูกสุนัขป่าที่ถูกบรรพชิตขังเอาไว้ก็เลยนำตัวกลับไปยังถิ่นฐานบ้านช่อง แต่พวกไวกิ้งบประมาณนเรือก็ถูกฆาตกรรมหมดรวมทั้งสุนัขป่าก็กระโดดจากเรือที่ลอยมาถึงแผ่นดินชาวนอร์ส แล้วล่องหนไปในป่าลึกตั้งแต่แมื่อนั้น

ซึ่งจะว่าไปย่อหน้าข้างบนแทบเป็นส่วนที่สมาคมกับไวกิ้งทั้งสิ้นของเรื่องแล้ว แล้วก็หาคำตอบ hd-free-movie ได้ยากอย่างมากว่าเพราะเหตุใดผู้ผลิตถึงกล้าเพียงพอเอามาตั้งเป็นชื่อหนัง หนำซ้ำหากอ่านดีๆมนุษย์สุนัขป่าตัวแรกตามตำนานนี้เป็นชาวประเทศฝรั่งเศสเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งนี้พวกเราก็ยังคงฝากความคาดหมายได้ว่าหรือบางครั้งบางคราวผู้ผลิตบางทีอาจต้องการพรีเซ็นท์มนุษย์สุนัขป่าในต้นแบบประเทศนอร์เวย์ที่มันไม่เหมือนกับหนังซาตานจันทร์เพ็ญที่เคยทำมาก่อนหน้าบนแผ่นดินอื่นก็เป็นไปได้ ถ้าเกิดไปทางเซอร์เรียลก็หวังว่าจะได้มองเห็นมนุษย์สุนัขป่าถือขวานไล่ฆ่าคนกันเลย

แม้กระนั้นความน่าเศร้าใจของหนังหัวข้อนี้ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเนื้อเพลง “เลือดกลุ่มบี” ที่มีท่อนจำว่า จะต้องมีอะไรบกพร่องที่ไหนไม่รู้เรื่องเลยสักหนึ่งครั้ง ไอ้ที่เขาทำฉันนั้นก็ทำ แต่ว่าทำและไม่เคยสมหวัง เช่นเดียวกันกับผู้ผลิตขับร้องนี้ออกมาด้วยตัวเอง

นี่เป็นหนังที่เดินรอยตามหนังเครือญาติมนุษย์สุนัขป่าอย่างสะอาด ตั้งแต่การส่งต่อเชื้อผ่านรอยแผลของเหยื่อ รูปร่างและก็กรรมวิธีเปลี่ยนร่าง ไปจนกระทั่งลูกกระสุนเงินที่เป็นอาวุธเดียวที่จะฆ่าพวกมันได้ สิ่งที่แทบจะทำให้มันมองต่างบ้างก็อาจเป็นมุมมองการเล่าผ่านสายตาวัยรุ่นที่มีปัญหา และไม่สามารถไว้ใจคนแก่รอบข้างได้จนถึงจะต้องเจอกับโชคชะตาที่พวกเราต้องการเอาใจช่วยคุณพอควร ซึ่งพอเพียงจะดูไปทางหนังดราม่าวัยรุ่น หนังก็รอตัดตอนไปทางแม่ที่เป็นตำรวจแล้วแปลงเป็นหนังสอบสวนไปอีก แล้วจะว่าไปพวกหนังวัยรุ่นที่พรีเซนเทชั่นเรื่องมนุษย์สุนัขป่าก็มิได้มีเรื่องมีราวนี้ทำเป็นเรื่องแรกให้ตื่นเต้นเลยด้วย

เว้นแต่ความเป็นคนสุนัขป่าที่เดิมๆกับพลอตที่มิได้แปลกประหลาด หนังยังคงใช้แนวทางการเล่าที่ไม่มีลีลาท่าทางเข้าไปอีก ตั้งแต่เด็กหญิงรอดชีวิต คนกรุงฉงนว่าคนไหนกันหรืออะไรเป็นคนฆ่าพวกเด็กหนุ่มสาว พวกตำรวจกับแพทย์พบหลักฐานว่าบางทีอาจเป็นอสูรกายแม้กระนั้นก็ยากจะทำใจเชื่อ มีชายแก่อิริยาบถแปลกๆพูดว่าตนเองเป็นนายพรานล่ามนุษย์สุนัขป่าและก็ยัดลูกปืนเงินใส่มือแม่ที่เป็นตำรวจ แล้วในที่สุดเด็กผู้หญิงก็เริ่มแปรไปครั้งละนิด แล้วผู้ชมก็ตบหัวเข่าฉาดว่าไม่ต้องเล่าที่เหลือทายใจได้หมดแล้ว

ซึ่งดูแล้วราวกับหนังไม่รู้ตัวเองแล้วก็กำลังละเมอเดินสติลอยละล่องอยู่ไม่มีความต่างจากนางเอกเอก ยิ่งเพียรพยายามใส่ฉากที่นักแสดงทำหน้างงมากกันว่ามันเป็นตัวอะไรกันน้า และเพียรพยายามตัดต่อซ่อนตัวคนร้ายที่จริงจริงให้ประหนึ่งว่ายังได้โอกาสที่จะเป็นคนเดินดินทำด้วยเหมือนกัน แล้วผู้ชมจะได้ตกอกตกใจในเวลาที่พบว่าอสูรกายในตำนานมันมีจริงนี่ที่นา ซึ่งมันยิ่งมองตลกโปกฮา เนื่องจากอีกทั้งชื่อหนัง โปสเตอร์หนัง จนกระทั่งอินโทรของหนังบอกพวกเรามาตลอดว่ามันไม่มีอะไรอันอื่นเลยเว้นแต่ มนุษย์สุนัขป่าโน่นล่ะ

ก็ไม่เคยรู้ว่าผู้ผลิตมุ่งหวังอะไรอยู่กับกระบวนการทำหนังประเด็นนี้

ต้องการจะทำให้มีเอกลักษณ์ถึงขั้นเอาชื่อไวกิ้งมาผสมในเรื่องแม้กระนั้นก็ประพฤติตนเสมือนหนังมนุษย์สุนัขป่าเกรดรองๆอีกหนึ่งเรื่องแค่นั้น แถมเงื่อนต่างๆรวมทั้งฉากจุดไคลแมกซ์ก็มิได้ทำให้ลุ้นระทึกสุดใจอะไรเลย เป็นอย่างต่ำถ้าเกิดจะตามสูตรสำเร็จแม้กระนั้นเล่าให้มันถึงอารมณ์สุดในทางสนุกสนานมันก็ยังเพียงพอมีอะไรให้น่าดึงดูดบ้าง แต่ว่านี่ไม่เลย

หนำซ้ำที่ปูนักแสดงกับเงื่อนทิ้งเอาไว้หลายสิ่งหลายอย่าง แบบที่รู้ว่าว่าต้องการนำไปใช้งานต่อ แม้กระนั้นพอเพียงถึงฉากที่เป็นผลสรุปกลับไม่เอ่ยถึง และจากนั้นก็เลือกจบแบบโก้เก๋ๆแบบปลายเปิด ซึ่งมิได้เชิญให้แย้งอะไรเลยด้วยเหตุว่าก็มีฉากที่มาเฉลยคำตอบอยู่ดีแถมเป็นการเฉลยคำตอบที่สุดด้านหลังผู้ชมก็ถูกทิ้งเคว้งคว้างเหวี่ยงกับกองนักแสดงรวมทั้งเงื่อนอื่นๆอีกว่าจะเอายังไง

เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) เจ้าพ่อหนังหักมุมที่เคยส่งผลงานเด่นแจ้งกำเนิดในสมัย Y2K กับ ‘The Sixth Sense’ รวมทั้งมีหนังออกฉายอย่างสม่ำเสมอในตอน 20 ปีให้หลัง กลับมาอีกทีในปีนี้กับ ‘Knock at the Cabin’ หนังตื่นเต้นที่ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขจากนิยาย ‘The Cabin at the End of the World’ ของ พอล จี เทรมเบลย์ (Paul G. Tremblay) ในปี 2018

ส่งเสริมข้อมูลโดย Major Cineplex

ตอนที่ เหวิน หลิง (คริสเทน ชุย Kristen Cui) เด็กหญิงกำลังออกจับตั๊กแตนใส่ขวดโหล ลีโอทุ่งนาร์ด (เดฟ บอทิสตา Dave Bautista) ชายร่างยักษ์ได้เข้ามาเป็นมิตรก่อนที่จะนำพวกอีกทั้ง เรดมอนด์ (รูเพิร์ต กรินต์ Rupert Grint) ชายขี้คุกขี้ตะราง ซาบรินา (นิกกี อมูกา-เบิร์ด Nikki Amuka-Bird) พยาบาลสาวใหญ่ แล้วก็อาร์เดียน (แอบบี ควินน์ Abby Quinn) บุกเข้ามายังกระต๊อบเพื่อบังคับให้ แอนดรู (เบน อัลดริจ Ben Aldridge) รวมทั้ง เอริค (โจนาธาน กรอฟฟ์ Jonathan Groff) พ่อเลี้ยงทั้งคู่ของเหวินเลือกว่าจะสละชีวิตของคนไหนเพื่อสกัดกั้นวันสิ้นโลก

สิ่งที่ชยามาลานทำเป็นอยู่หมัดมากมายๆเป็นศิลป์การเล่า hd-free-movie เรื่องในพื้นที่จำกัด การวางเงื่อนต่างๆสำหรับในการหาทางรอดของนักแสดงสำคัญๆที่ผู้ชมต้องการจะเอาใจช่วยแม้กระนั้นก็มีเรื่องมีราวของวันโลกาพินาศที่ทำเอาผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้องไปตามพวกเขา ไปจนกระทั่งการผลิตเงื่อนในสมัยก่อนมาช่วยชี้แจงพฤติกรรมของนักแสดงในซีนนั้นๆรวมทั้งโดยเฉพาะถ้าเกิดพิจารณาถึงว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกของชยามาลานที่ผู้แสดงหลักเป็นเกย์แล้ว มันยังเอ่ยถึงปัญหาภายในสังคม การบ้านการเมืองเจริญไม่แพ้งานที่ผ่านๆมาเลย

แม้กระนั้นในเวลาเดียวกันก็จำต้องสารภาพว่าการจำต้องเล่าเดินตามนิยาย

โดยยิ่งไปกว่านั้นนิยายที่เอาแรงดลใจมาจากพระไบเบิลมาดัดแปลงแบบ ‘ภาพชัด’ ดิ้นได้ยากขนาดนี้หมดทั้งตัวผู้บุกรุกทั้งยังสี่คน แถมยังเอาภัยวันสิ้นโลกที่อยู่ในบททิวทัศน์รณ์ (Revelation) มานำเสนอกันจะๆเพราะฉะนั้นแม้จะมุ่งมาดว่าหนังจะหักมุมแบบหักศอกเสมือนมาสเตอร์พีซของเขาในสมัยก่อนคงจะไม่ใช่แน่แล้วก็จำเป็นต้องเห็นด้วยว่าตอนที่พวกเรากำลังบันเทิงใจกับข้อตกลงอันไร้มนุษยธรรมของหนัง เพลิดเพลินกับสมัยก่อนของ แอนดรู รวมทั้ง เอริค ที่เล่าถึงที่มาที่ไปของความเกี่ยวข้องระหว่างพวกเขากับการชุบเลี้ยงเหวิน หลิง พวกเรากลับสัมผัสได้ถึงความเบาหวิวของติดอยู่แรกเตอร์ที่หนังปูมา

อย่างแอนดรูกับเอริคที่หนังบากบั่นพรีเซนเทชั่น

ปัญหาการใช้ชีวิตในฐานะแฟนเกย์จากทั้งยังครอบครัวแล้วก็สังคมรอบตัวเพื่อปูไปสู่เหตุและก็ผลที่หนังจำต้องจบแบบงี้ ก็จะต้องแลกเปลี่ยนกับการที่หนังไม่ไขปัญหาหลายแบบที่ผู้ชมอยากทราบโดยยิ่งไปกว่านั้นเหล่าผู้บุกรุกทั้งยัง 4 ผู้ที่นอกเหนือจากการแนะนำตัวช่วงต้นเรื่องรวมทั้งข้อตกลงว่าพวกเขาพบกันอย่างพิลึกได้อย่างไรแล้ว หนังก็มิได้เหตุผลที่หนักแน่นพอเพียงว่าเพราะเหตุไรพวกเขาจะต้องถูกเลือกมาทำหน้าที่ที่ชักชวนใจแตกสลายขนาดนี้ และก็ในเวลาเดียวกันยิ่งหนังเล่าได้บันเทิงใจกับงานภาพเยอะแค่ไหน สารที่หนังกำลังจะพรีเซ็นท์ก็ราวกับถูกไม่มีความเอาใจใส่ออกไปๆมาๆกเพียงแค่นั้น

แต่งานภาพที่นำมาจากความสามารถของ จาริน บลาสช์เก (Jarin Blaschke)

รวมทั้ง โลเวล เอ เมเยอร์ (Lowell A. Meyer) ก็นับว่าเป็นตัวช่วยของหนังไม่น้อยอีกทั้งการวางแบบมุมกล้องถ่ายรูปหรูๆแล้วก็ภาพที่เป็นเครื่องหมายต่างๆที่ชยามาลานบากบั่นเสนอถูกถ่ายทอดได้อย่างมีศิลป์ทั้งยังภาพตั๊กแตนในขวดโหลที่คงจะใช้ความสามารถสำหรับเพื่อการถ่ายทำไม่น้อยแล้วก็ที่สำคัญนี่เป็นหนังไม่กี่เรื่องด้วยเหมือนกันที่ถ่ายทำด้วยฟิล์มถ่ายรูป 35 มิลลิเมตร ที่สามารถดึงแสงสว่างแล้วก็โทนสีส่วนตัวออกมาถ่ายทอดได้อย่างงดงามชักชวนตะลึงงัน ซึ่งถ้าเป็นได้ผมเสนอแนะให้หาโรงหนังที่ฉายระบบเลเซอร์ได้ครับ หนังหัวข้อนี้ถ่ายป่าได้สวยสดงดงามมากมาย

และก็ตบท้ายที่งานแสดงที่จำเป็นต้องพูดว่าภาพรวมการแสดงของหนังออกมาแข็งแรงมากมายโดยยิ่งไปกว่านั้น เดฟ บอทิสตา ซึ่งสามารถถ่ายทอดความใจแตกสลายมีความขัดแย้งกับภาพลักษณ์ด้านนอกที่มองบึกบึนรวมทั้งน่าขนลุกได้เยี่ยมที่สุดมากมาย ส่วน คริสเทน ชุย ก็มีเสน่ห์มากมายแบบไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกของคุณ แต่ว่าที่เหล่าพอเพียงตเตอร์เฮดคงจะพึงใจไม่น้อยเป็นการกลับมาบนหน้าจอใหญ่อีกทีของ รูเพิร์ต กรินต์ (Rupert Grint) หรือ รอน วีสลีย์ที่โอกาสนี้มาในบทเดนมนุษย์ที่ถูกเลือกจากพระผู้เป็นเจ้าได้น่าสะพรึงกลัวและก็ทายใจทางผิด ส่วนนิกกี อมูกา-เบิร์ด และก็ แอบบี ควินน์ ก็แปลความอารมณ์ยากๆในฐานะสมาชิกสาว 2 คนภายในกรุ๊ปผู้บุกรุกได้น่าดึงดูดจำนวนไม่ใช่น้อย

จะมีเสียดายอยู่บ้างตรงการเล่าความเชื่อมโยงของแอนดรูกับเอริคที่ยังมองไม่เห็นเงื่อนหัวข้อที่สำคัญกับเรื่องราวหรือการรับหน้าที่ป๋าชาว LGBTQ+ ที่คงจะถึงเวลาบนจอมากกว่านี้ เพราะว่าเท่าที่มองเห็นจากผลงานแล้วการแสดงของทั้งยัง

เบน อัลดริจ แล้วก็ โจนาธาน กรอฟฟ์ มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย พวกเขาถ่ายทอดความลำบากตรากตรำสำหรับในการ hd-free-movie พยุงความเกี่ยวข้องแบบคู่ควงที่สังคมปฏิเสธและก็ในโมเมนต์สั้นๆทั้งสองได้แสดงถึงความปลื้มปิติกับการรับเลี้ยงเด็กแบเบาะน้อยอย่างเหวิน หลิงได้น่าประทับใจไม่น้อยเลยคราวเดีย

โดยประสบการณ์ส่วนตัวตั้งแต่จำความได้การได้ยินชื่อ สตีเวน

สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ในประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์เรื่องไหน โดยการรับทราบส่วนตัวเป็นควรเป็นหนังทุนสร้างสูง หนังมองสนุกสนาน แล้วก็แน่ๆเป็นสมญานาม “บิดามดที่ฮอลลีวูด” ที่รังสฤษฏ์ภาพจินตนาการอันแสนเลิศวิไล เสนอเรื่องราวเผชิญภัยอันไม่มีขอบเขตตั้งแต่นักโบราณคดีผู้ตามล่าขุมเงินขุมทองสุดขอบฟ้าไปจนกระทั่งเกิดใหม่ไดโนเสาร์ แล้วก็แน่ๆเมื่อแก่ขึ้น วิชาความรู้ด้านภาพยนตร์เริ่มเพิ่มพูนก็ได้ทำความเข้าใจ “กระบวนการ” ที่บิดามดท่านนี้ใช้ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้องถ่ายภาพ เคล็ดลับพิเศษหรือจนกระทั่งคณะทำงานคู่บารมีที่พาภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องแปลงเป็นตำนานหนังดีที่ไ่ม่มีวันหมดอายุ

แม้กระนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมอย่างผมรวมทั้งใครกันแน่หลายต่อหลายๆคนยังไม่รู้จักและไม่ได้โอกาสได้ทราบก็คือเรื่องของตัวตน แรงผลักดันและก็ชีวิตเบื้องหน้าเบื้องหลังความชำนาญการเล่าเรื่องอันแสนแปลกประหลาดทั้งหลายแหล่ แล้วก็เป็น ‘The Fabelmans’ ที่สปีลเบิร์กเขียนบทร่วมกับโทนี ปะทุชเนอร์ (Tony Kushner) หนึ่งในคนเขียนที่สปีลเบิร์กร่วมงานมาตั้งแต่ ‘Munich’ จนกระทั่ง ‘West Side Story’ ที่ได้เข้าชิงออสการ์ปีกลายมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้แรงจูงใจจากชีวิตส่วนตัวของสปีลเบิร์กเอง

หนังเล่าของ แซมมี เฟเบิลแมนส์

(เอ็งเบรียล ลาเบลล์ Gabriel LaBelle) เด็กวัยรุ่นอเมริกันเชื้อสายชาวยิวที่เติบโตในครอบครัวที่มีป๋าอย่าง เบิร์ต (พอล ดาโน Paul Dano) วิศวกรคอมพิวเตอร์อนาคตไกล รวมทั้ง ไม่ตซี่ (มิเชล วิลเลียมส์ Michelle Williams) ม่าม้านักเปียโนที่ทิ้งความฝันมาเลี้ยงลูกๆทั้งยัง 4 คน แซมมีคลั่งไคล้ในศาสตร์แนวทางการทำหนังตั้งแต่เด็ก กระทั่งความลับอะไรบางอย่างที่กำลังทำให้ครอบครัวของเขากำเนิดรอยร้าวเปลี่ยนมาเป็นบทพิสูจน์หัวใจต่อศาสตร์ของภาพยนตร์

สิ่งที่ทำให้ ‘The Fabelmans’ ยืนเด่นท่ามกลางงานมาสเตอร์พีซล้นหลามของสปีลเบิร์ก นอกเหนือจากงานดูแลภาพของยานุสซ์ ติดอยู่ไม่นสกี (Janusz Kaminski) ที่ถ่ายทอดชีวิตอันแสนน่าพิศวงลงแผ่นฟิล์มถ่ายรูป อีกทั้ง 8 มิลลิเมตร 16 มิลลิเมตร แล้วก็ 35 มิลลิเมตร ได้อย่างเบิกบานใจ รวมทั้ง จอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) อีกหนึ่งคอมโพสเซอร์คู่บารมีจะรังสฤษฏ์ดนตรีประกอบที่ช่วยโอบอุ้มบรรยากาศโรแมนติกเรียกร้องหาสมัยก่อนอันแสนอบอุ่นแล้ว

hd-free-movie

ในฐานะนักแสดงเองนี่เป็นครั้งแรกที่ สปีลเบิร์กยอมเปิดลิ้นชักความจำและก็เผยตัวตน ความเจ็บอันมีเหตุมาจากสองทางแยกในชีวิตของเขาอย่างศิลป์และก็ครอบครัวผ่านเรื่องราวของแซมมี่ได้อย่างอ่อนโยน สิ่งที่ผู้ชมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะคู่รักหนังรวมทั้งฟิล์มถ่ายรูปเมกเกอร์จำต้องขอบคุณมากสปีลเบิร์กงามๆสำหรับเพื่อการทำหนังหัวข้อนี้เป็นการที่มันกลับมาสร้างความอัศจรรย์ผ่านศิลป์ของการเล่าเรื่องเป็นหลัก

เอ็ดการ์ ไรต์ (Edgar Wright) ที่ได้สิทธิ์ทำซีรีส์ลง Netflix แทน แล้วก็ได้เพื่อนฝูงไรต์อย่าง โจ คอร์นิช (Joe Cornish) ผู้กำกับหนังเอเลียนสายปั่น ‘Attack the Block’ (2011) แล้วก็นักเขียนบท ‘Ant-Man’ (2015) ภาคแรกมารับหน้าที่ดูแล เขียนบท และก็ผู้อำนวยการผลิต

ตัวซีรีส์นี้จะย้อนเล่าไปถึงกรุงลอนดอน อังกฤษในทศวรรษ 1980

ซึ่งเป็นสมัยที่ผีออกก่อกวนระบาดมากสร้างความลำบากให้กับคนสมัยนั้นราวกับยุง ถึงขั้นควรจะมีการเคอร์ฟิว และก็มีการตั้งบริษัทกำจัดผี มีคนแก่รอเทรนเด็กหนุ่มสาวรับหน้าที่ค้นหาแล้วก็กำจัดวิญญาณให้หมดสิ้น แล้วก็มีหน่วยงานราชการชื่อ ดีแพร็ก (DEPRAC) เสมือนเป็นหน่วยงานดูแลควบคุมการปราบผีอีกครั้ง ซึ่ง ลูซี คาร์ไลล์ (Ruby Stokes) เด็กหญิงผู้มีความรู้ความเข้าใจจับสัมผัสวิญญาณผ่านเสียง

ที่จำเป็นต้องพบเหตุไม่ได้นึกฝันขึ้นระหว่างปราบผี ทำให้คุณจำเป็นต้องหนีออกมาจากบ้าน จนได้เจอกับบริษัทล็อกวูดและก็เพื่อน (Lockwood & Co.) บริษัทกำจัดผีนอกระบบจิ๋วที่ดูแลงานโดย แอนโทนี ล็อควูด (Cameron Chapman) ชายหนุ่มปราบผีสุดห่าม และก็ จอร์จ ค้างขอบ (Ali Hadji-Heshmati) เด็กผู้ชายสุดเนิร์ด ทั้งยัง 3 คนก็เลยจำเป็นต้องด้วยกันดำเนินการปราบผีและก็ไขเงื่อนปัญหาลึกลับ โดยมี ข้าราชการบาร์นส์ (Ivanno Jeremiah) จากหน่วย DEPRAC รอเฝ้ามองพวกเขาทุกฝีก้าว

อย่างแรกที่คนเขียนยังไม่แน่ใจว่ามันน่าดึงดูดไหมก็คือ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัย 80’s ครับผม และก็จะว่าไป พล็อตอย่างนี้อย่างไรก็อดนึกถึงหนังคลาสสิกอย่าง ‘Ghostbusters’ (1984) มิได้จริงๆนั่นแหละ เพียงความแตกต่างที่ชัดแจ้งก็คือ นอกเหนือจากการที่จะใช้เพลงประกอบส่วนมากเป็นแถวโพสต์พังก์ที่ได้รับความนิยมในสมัย 80’s แล้ว ก็แทบจะไม่มีอะไรบ้างที่อยู่ในหนังที่ตรงสมัยเลย แลกเปลี่ยนกับการได้กลิ่นอายอังกฤษที่มองแปลกใหม่ มองเชยๆลึกลับๆไปอีกในลัษณะหนึ่ง

แต่ว่าก็แอบรู้สึกยุกยิกเช่นเดียวกันครับที่มองเห็นหนุ่มน้อยถือกระบี่ไปปราบผี รู้เรื่องล่ะ  more-sport-betting ว่าตัวเรื่องอยากได้เซ็ตให้ลอนดอนสมัยนั้นดูดาร์กๆลำบากยากเข็ญหน่อยๆแม้กระนั้นก็แอบสงสัยว่า ไม่มีอะไรที่ตรงสมัยหน่อยเลยหรอ ขนาดโทรทัศน์ก็ไม่มีมองกัน Gadget ปราบผีก็มีเพียงแค่กระบี่ไว้ตวัดแทงผี ระเบิดเกลือไล่ผี เครื่องวัดอุณหภูมิ ผ้าที่เอาไว้สำหรับคลุมเงินกันผีเฮี้ยน บางโอกาสก็เอามาใช้ต่อสู้กับคนได้อีกแน่ะ ก็แอบสงสัยว่านี่สมัย 80’s หรือยุคกลางป่ะเนี่ย (555)

โอเค ถึงแม้มันจะเชยแค่ไหน แต่ว่ามันก็มีความร่วมยุคอยู่ครับผม โดยเฉพาะ hd-free-movie อย่างยิ่งใน 2-3 อีพีแรกๆตัวซีรีส์มานะจะปูคอนเซ็ปต์ที่ผสมกันระหว่างบริษัทกำจัดผี กับสูตรหนังวัยรุ่นพันล้าน วัยรุ่นตั้งตัว พล็อตเลยออกทรงทำนองว่า ผีมีธรรมดาเสมือนยุงนี่แหละ เลยควรมีบริษัทกำจัดผีขึ้นมา แม้กระนั้นดันมีหนุ่มสาวพากเพียร Disrupt แวดวงด้วยการเปิดบริษัทคุ้นเคยในบ้านเหมือนกับบริษัทสตาร์ทอัป

แถมพากเพียรผู้ทรยศด้วยการพยายามอยู่นอกการควบคุมของคนแก่ที่ไม่ได้การได้ราวทั้งหลาย ก่อนที่จะลากไปสู่เหตุการณ์ปราบผีแบบก๊องกลุ่ม และก็เอาชีวิตรอดทางธุรกิจจวนเจ๊งแหล่ไม่เจ๊งแหล่ ที่เดินเส้นเรื่องไว้บางๆปูเส้นเรื่องไปสู่การเสี่ยงภัยผสมแนวสอบสวน รวมทั้งแอ็กชันปราบผีและก็ปราบคน

Kampen om Narvik : อีกมุมหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยังไม่เคยถูกเล่า

สุชยา เกษสว่าง 29/01/2023นับถึงวันนี้ สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ผ่านมาแทบ 80 ปีแล้ว แต่ว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งโลกก็ยังคงสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกมาเนืองๆเพียงแค่เฉพาะฮอลลีวูดก็สร้างออกมาเกือบจะ 200 เรื่องแล้ว โน่นก็เลยเป็นเหตุผลว่าพวกเราเห็นแก่ได้ดูหนังที่ถูกเล่าจากมุมมองของฝั่งสหรัฐอเมริกา บ่อยสุด รองลงมาก็หนังจากฝั่งยุโรป จีน และก็ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ล้วนเล่ามุมมองจากฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งฝ่ายอักษะ แม้กระนั้นสำหรับประเด็นนี้ Kampen om Narvik ถือได้ว่าเป็นประเด็นแปลกใหม่ของหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเหตุว่าถูกเล่าจากมุมมองของประเทศเป็นกลางอย่างประเทศนอร์เวย์

เหมือนกันกับหนังประวัติศาสตร์ทั่วๆไป

ที่ชอบเปิดเรื่องด้วยคำพรรณนา Kampen om Narvik เล่าให้ผู้ชมรู้จักจุดสำคัญของ “ที่นาร์วิค” เมืองเล็กๆทางทางเหนือของประเทศนอร์เวย์ที่เปลี่ยนเป็นสนามรบทำสงครามกันระหว่างอังกฤษแล้วก็เยอรมันในม.ย. จนกระทั่ง เดือนมิถุนายน ปี 1940 ซึ่งเป็นตอนๆเริ่มของสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุเพราะที่นาร์วิคมีเหมืองเหล็กที่กำลังในการผลิตสูงมากมาย รวมทั้งเป็นแร่สำคัญที่เยอรมันอยากได้นำไปสร้างอาวุธแล้วก็ยานพาหนะที่ใช้เพื่อสำหรับการศึก ทำให้อังกฤษอยากครอบครองเพื่อตัดเส้นทางแร่เหล็กของเยอรมัน แต่ว่านี่เป็นหนังที่มุ่งสร้างความสนุกสนานไม่ใช่เล่าประวัติศาสตร์ คนเขียนก็เลยจำเป็นต้องสร้างเนื้อสร้างตัวละครหลักขึ้นมาเป็นตัวดำเนินเรื่องบนเบื้องหลังที่เป็นสถานะการณ์จริง ลักษณะเดียวกันกับ Titanic โน่นละ

ถึงแม้ Kampen om Narvik จะเป็นหนังประเทศนอร์เวย์

แม้กระนั้นก็จำเป็นต้องพบเจอกับกรรมหนักของวัววิด-19 เช่นเดียวกัน เนื่องจากว่าหนังก็จะต้องพักกองไปในตอนที่วัววิด-19 ระบาดหนัก พอกลับมาถ่ายทำเสร็จ กำเนิดการสู้รบยูเครน-รัสเซีย เอาหนังออกฉายไมได้อีก ด้วยเหตุว่าชาวยุโรปกำลังเคร่งเคลียดกับบรรยากาศการศึกที่ปั่นป่วน ก็จำต้องให้เหตุการณ์คลี่คลายลงหน่อยค่อยออกฉาย หนังก็เลยเอาเข้าโรงฉายในประเทศนอร์เวย์เมื่อธ.ค. 2022 แล้วขายให้กับ Netflix มาฉายในมกราคม 2023 และน่าทึ่งที่ว่าหนังประเทศนอร์เวย์ ที่ไม่มีชื่อขายเลยอีกทั้งผู้แสดงและก็ผู้กำกับ แต่ว่าหนังก็สามารถขึ้นชั้น 1 ในชาร์ต Netflix บ้านพวกเราได้แม้ว่าจะเป็นตอนๆสั้นๆก็ตาม

กุนท้องนาร์ และก็ อิงกริด ทอฟเตอร์ คู่พระ-นาง ของเรื่อง

นักแสดงหลักใน Kampen om Narvikหมายถึงกุนทุ่งนาร์ ทอฟเตอร์ ที่ถูกมาตรฐานไปร่วมกับกองทัพประเทศนอร์เวย์ หากแม้ประเทศจะประกาศตนเป็นกลาง แม้กระนั้นกองทัพก็ประสานมือกับอังกฤษแล้วก็ประเทศฝรั่งเศส ที่สมัครใจมาขับไสเยอรมันออกมาจากประเทศนอร์เวย์ หนังเปิดเรื่องในตอนที่อังกฤษส่งทหารมา 2 นาย เพื่อตรวจสอบพื้นที่ก่อนส่งกองทัพมาขับไสทหารเยอรมัน แต่ว่าเข้ามาได้ไม่นานเยอรมันก็ยกกองทัพเข้ามา แล้วก็ใช้เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์รอยัลในท้องนาร์วิคเป็นหลักที่ออกคำสั่งชั่วครั้งคราว ซึ่ง อิงกริด ทอฟเตอร์ เมียของกุนที่นาร์ดำเนินงานอยู่ตรงนี้ ดังที่คุณบอกภาษาเยอรมันได้ ก็เลยแปลงเป็นล่ามไปโดยปริยาย เวลาเดียวกันคุณก็คือคนที่นำตัวทหารอังกฤษไปซ่อนไว้และก็รอส่งข่าวสารการเคลื่อนไหวของทางข้างเยอรมันให้ทางอังกฤษรับรู้

ด้านหน่วยรบของกุนทุ่งนาร์ก็เสียเชิงให้กับกองทัพเยอรมัน กุนทุ่งนาร์ถูกจับตัวไปเป็นเชลยสงคราม แปลงเป็นเรื่องราวดราม่าชีวิตรันทดท่ามกลางสนามรบ ให้ผู้ชมรอลุ้นเอาใจช่วยกันว่าเรื่องราวจะจบแบบสุขหรือสลด ในที่สุดบิดามารดาลูกจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาไหม หรือผู้ใดจำต้องจากไปในขณะวิกฤตแบบนี้ ด้วยเหตุว่าเหตุการณ์อีกทั้งทางฝั่งกุนที่นาร์แล้วก็อิงกริดต่างก็เสี่ยงพอกัน

จุดเด่นของหนังก็คือเล่าจบในเวลาพอดีเพียงพอสม 1 ชั่วโมง 48 นาที ปูความไม่นานท้องนาร์วิคก็ตกอยู่ในวิกฤติการณ์แล้ว หนังตัดสลับไปๆมาๆระหว่างกุนทุ่งนาร์ที่อยู่ในสนามรบ และก็ทางฝั่งอิงกริดที่จะต้องปฏิบัติภารกิจสายจำเป็นต้อง มีฉากให้ลุ้นไปกับทำการณ์ของคุณอยู่เนืองๆรวมทั้งฉากที่เคร่งเคลียดที่สุดของเรื่องก็คือเรื่องราวทางฝั่งของคุณ ที่คุณจะต้องตกลงใจเลือก ระหว่างชีวิตลูกชายกับอนาคตของทุ่งนาร์วิค

หากแม้ Kampen om Narvik จะเป็นหนังสงคราม แต่ว่าอีกทั้งเรื่องก็มีฉากรบให้ได้มองเห็นเพียงแค่ไม่กี่นาทีเพียงแค่นั้น ก็เลยแปลงเป็นจุดเด่นอีกอย่างซึ่งสามารถเปิดมองไประหว่างรับประทานข้าวได้ หนังมีเลือดให้มองเห็นน้อยมาก ไม่มีฉากชั่วร้าย ฉากแหวะ เนื่องจากว่าหนังได้เรต 13+และก็เป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 น้อยเรื่องนัก ที่ไม่สร้างภาพให้เยอรมันเป็นปีศาจร้ายจนถึงเกินความจำเป็น บอกได้เลยว่าทหารเยอรมันในหัวข้อนี้มองเป็นผู้เป็นคนมีมนุษยธรรมที่สุดที่เคยมองมา

Money Heist ภาค 5 ชุด 1: โคตรมัน อารมณ์มากมายเป็นห่าลูกปืน

จุดด้วยของหนังก็คือ การจะต้องใช้สมาธิสูงสำหรับการรับดู เนื่องจากมีทหารหลายข้างมากมาย hd-free-movie แล้วทั้งยังชุดแต่งกายรวมทั้งภาษาพูดก็ฟังมองคล้ายกันเสียด้วย พอเพียงพวกเรามานะจับเอกลัษณ์ของชุดแต่งกายได้ว่านี่เป็นทหารประเทศนอร์เวย์ นี่เป็นทหารเยอรมัน นี่เป็นทหารอังกฤษ ก็ดันมีทหารประเทศฝรั่งเศสเพิ่มมาอีก Kampen om Narvik เป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างไม่สูงนัก เพียงแค่ 8 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ก็เลยมิได้มองเห็นฉากรบแบบระเบิดระเบ้อนัก ระเบิดแต่ละหนก็ใช้ภาพมุมกว้างมองเห็นระเบิดไกลๆทั้งยังเรื่องยังมองเห็นทหารไม่ถึงร้อยคนเลย แม้กระนั้นผู้ผลิตเองก็ทราบความจำกัดในส่วนนี้ดี ก็เลยมิได้ย้ำขายฉากรบ แม้กระนั้นไปย้ำประเด็นการอุตสาหะเอาชีวิตรอดของอีกทั้งกุนที่นาร์และก็อิงกริด โดยเป็นอิสระของชาวประเทศนอร์เวย์เป็นพนัน

อีริค โชลจาร์ก (Erik Skjoldbjærg)

หนังสำเร็จงานของ อีริค โชลจาร์ก (Erik Skjoldbjærg) ผู้กำกับมือเก๋าของประเทศนอร์เวย์ เคยเป็นเจ้าของผลงาน Insomnia (1997) ที่ถูกฮอลลีวูดรีเมกเมื่อปี 2002 แล้วโชลจาร์กยังเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วย ซึ่งประเด็นนี้เขาก็ควบหน้าที่เขียนบทร่วมด้วย ก็ถือว่าไม่เสียชื่อเสียงมือเขียนบทรุ่นเก๋า ดำเนินเรื่องได้เร็วน่าติดตาม ประสานรายละเอียดดราม่าแล้วก็ประวัติศาสตร์ได้กลมกลืน ดูแล้วได้อีกทั้งความรื่นเริงใจและก็ได้รับทราบประเด็นใหม่ๆในประวัติศาสตร์ มิได้ยกยอปอปั้นว่าข้างไหนดีเลิศหรือเขียนให้ข้างไหนไม่ดี ส่วนท้ายหนังก็เล่าด้วยภาพนิ่งสั้นๆว่า สุดท้ายอีกทั้งเยอรมัน อังกฤษ ประเทศฝรั่งเศส ต่างก็เอาชีวิตรอดแล้วไปกันทั้งหมด แล้วที่นาร์วิคก็แปลงเป็นเมืองที่จำต้องรับเคราะห์บาปจากการที่ประเทศกลุ่มนี้มาตีกัน